Search

หลักกฎหมายว่าด้วยครอบครัว

มนุษย์ทุกคนเม...

  • Share this:

หลักกฎหมายว่าด้วยครอบครัว

มนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดมาแล้วอยู่รอดมีสภาพบุคคลขึ้นมามีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย มีสิทธิที่จะมีครอบครัวใหม่ โดยการแต่งงาน เรื่องต่างๆได้กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวซึ่งในที่นี้จะขอหยิบยกในเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ และจำเป็นต้องรู้มากล่าวให้ทราบดังต่อไปนี้
1.การหมั้น
การหมั้น คือการตกลงว่าชายจะสมรสกับหญิง จะทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปี มิฉะนั้นเป็นโมฆะ ซึ่งผู้เยาว์จะทำการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบิดามารดาหรือผู้ปกครอง หรือผู้รับบุตรบุญธรรมมิฉะนั้นเป็นโมฆียะ
1.1 ของหมั้น
ของหมั้น คือ ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายส่งมอบหรือโอนให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานการหมั้น และประกันว่าจะสมรสกับหญิงนั้น เมื่อหมั้นแล้วของหมั้นเป็นสิทธิแก่หญิง
ข้อสังเกต การหมั้นกับความจำเป็นต่อการสมรส การหมั้นไม่มีความจำเป็นต่อการที่ชายหญิงจะสมรสกัน จะสมรสกันโดยไม่มีการหมั้นก่อนก็ได้ การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้ามีข้อตกลงไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ แต่ถ้าเมื่อมีการหมั้นแล้วฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทนได้ ในกรณีที่ฝ่ายหญิงนั้นเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น ให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชาย
1.2 ค่าทดแทนในการผิดสัญญาหมั้น
ค่าทดแทนในการผิดสัญญาหมั้นเรียกได้ดังนี้ คือ
1.2.1ค่าทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น
ค่าทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้นโดยระหว่างการหมั้นหญิงอาจถูกชายล่วงเกินทางชู้สาวอันเป็นความเสียหายต่อกาย ส่วนชายอาจเสียหายต่อชื่อเสียงจากการที่หญิงคู่หมั้นนั้นไม่ยอมสมรสกับตน ทำให้ได้รับความรังเกียจจากหญิงคนอื่น ชายหรือหญิงคู่หมั้นเช่นว่านี้จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากคู่หมั้นผิดสัญญานั้นได้ แต่ทั้งนี้จะต้องมีหน้าที่จะต้องมีหน้าที่นำสืบว่าตนได้รับความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงอย่างไรบ้าง จะกล่าวอ้างลอยๆไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายได้กำหนดสิทธิของชายคู่หมั้น ชายคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากชายอื่นที่ได้ร่วมประเวณีกับหญิงคู่หมั้น โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าหญิงคู่หมั้นได้หมั้นกับชายคู่หมั้นแล้วเมื่อชายคู่หมั้นได้บอกเลิกสัญญาหมั้น
1.2.2 ค่าทดแทนความเสียหายในการเตรียมการสมรส
ค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากที่คู่หมั้น บิดามารดาหรือบุคคลผู้กระทำการในฐานะ เช่น บิดา มารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและความสมควร หรือค่าเสื้อผ้า (ชุดเจ้าสาว) เป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส เป็นต้น
ข้อสังเกต ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูในวันทำพิธีแต่งงานไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรสอันจะเรียกค่าทดแทนกันได้
1.2.3 ค่าทดแทนความเสียหายในการจัดการทรัพย์สินหรืออาชีพการงานด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส
ค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอันเกี่ยวกับอาชีพหรือการทำมาหาได้ของตนไปโดยการสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส เช่น รีบขายทรัพย์สินหรือกิจการโดยการขาดทุนเพื่อที่จะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกับคู่สมรส หรือลาออกจากราชการเพื่อจะไปอยู่กับคู่สมรสในต่างประเทศ จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายเหล่านี้จากคู่สัญญาหมั้นที่ผิดสัญญาไม่ยอมสมรสกับตนได้
2.สินสอด
สินสอด คือ ทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรสถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบทำให้ชาย ไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้
ข้อสังเกต ความแตกต่างระหว่างของหมั้นกับสินสอด ดังนี้คือ
1.ของหมั้น คือ ฝ่ายชายมอบให้แก่ตัวหญิง ส่วนสินสอดฝ่ายชายมอบให้บิดามารดาผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง
2.ของหมั้นมอบให้ก่อนสมรส ส่วนสินสอดมอบให้เมื่อสมรส
3.ของหมั้นเป็นสินส่วนตัวของหญิง ส่วนสินสอดแล้วแต่บิดา มารดาผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองจะจัดการอย่างไรก็ได้
ตัวอย่างเรื่องสินสอด คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 3868/2531 ชายหญิงตกลงกันในวันสู่ขอและทำการหมั้นว่าจะไปจดทะเบียนสมรสหลังพิธีแต่งงานแล้ว ต่อมาชายเป็นฝ่ายไม่ยอมจดทะเบียนสมรสอันเป็นการผิดสัญญาหมั้น เช่นนี้ ชายจะเรียกของหมั้นและสินสมรสคืนไม่ได้ ทั้งไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายที่ได้ใช้จ่ายในการเตรียมสมรส
3.เงื่อนไขแห่งการสมรส
เงื่อนไขแห่งการสมรส ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว
ได้กำหนดอื่นในการสมรสไว้ ดังนี้
3.1อายุ
การสมรสจะทำได้เมื่อชายหญิงมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้
3.2 การวิกลจริต
การสมรสจะทำมิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นคนวิกลจริตหรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถถ้าฝ่าฝืนการสมรสเป็นโมฆะ
3.3 ชายหญิงเป็นญาติ
ชายหรือหญิงเป็นญาติสืบสายโลหิต โดยตรงขึ้นไปหรือลงมา เป็นพี่น้องร่วมบิดา มารดาหรือร่วมแต่บิดา หรือมารดา จะทำการสมรสกันไม่ได้ ถ้าฝ่าฝืนการสมรสเป็นโมฆะ แต่อาสมรสกับหลานสาวได้หรือแม่เลี้ยงสมรสกับลูกเลี้ยงได้เพราะไม่ใช่ญาติสืบสายโลหิตโดยตรงต่อกัน เป็นต้น
3.4 บุตรบุญธรรม
ชายหรือหญิงจะสมรสกับบุตรบุญธรรมไม่ได้ ถ้าสมรสกันก็ขาดจากการเป็นบุตรบุญธรรม
3.5 คู่สมรสอื่น
ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ที่เรียกว่า “การสมรสซ้อน” การสมรสครั้งที่สองดังกล่าวเป็นโมฆะ คู่สมรสในการสมรสครั้งแรกมีสิทธิกล่าวอ้างว่าการสมรสครั้งที่สองเป็นโมฆะได้โดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อตัดปัญหายุ่งยากเกี่ยวกับบุตรที่เกิดจากการสมรสซ้อนและบุคคลภายนอกผู้ทำการสุจริตควรนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสซ้อนนี้เป็นโมฆะ
3.6 หญิงที่สามีตาย
หญิงที่สามีตายหรือที่การสมรสสิ้นสุดด้วยประการอื่นจะทำการสมรสใหม่ได้เมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 เว้นแต่
1) คลอดบุตรแล้วในระหว่างนั้น
2) สมรสกับคู่สมรสเดิม
3) มีใบรับรองแพทย์ประกาศนียบัตรหรือปริญญา ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรักษาโรคในสาขาเวชกรรมว่ามิได้มีครรภ์
4) มีคำสั่งศาลให้สมรสได้
3.7 ความยินยอม
ชายหญิงยินยอมเป็นสามีภรรยากันโดย แสดงความยินยอมให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้า นายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมไว้
3.8 ในกรณีที่ผู้เยาว์ทำการสมรส
ในกรณีที่ผู้เยาว์ทำการสมรส จะต้องได้รับความยินยอมของบิดา มารดาหรือผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองโดยลงลายมือชื่อในขณะจดทะเบียนสมรสหรือทำเป็นหนังสือยินยอม ถ้าจำเป็นจะให้ความยินยอมด้วยวาจาต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คนก็ได้เมื่อให้ความยินยอมแล้วจะถอนไม่ได้
3.9 การจดทะเบียนสมรส
การสมรสจะต้องจดทะเบียนสมรสต่อนายอำเภอหรือผู้อำนวยการเขตการจดทะเบียนสมรสอาจจะกระทำนอกที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขต เช่นขอให้นายอำเภอไปจดทะเบียนสมรส ณ สถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองการสมรสก็ได้ แต่ชายหญิงต้องแสดงความยินยอมเป็นสามีภริยากันให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้านายอำเภอด้วยตนเอง จะตั้งตัวแทนไปจดทะเบียนสมรสแทนไม่ได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ
การสมรสตามกฎหมายที่ใช้ในปัจจุบันต่างกับกฎหมายลักษณะผัวเมีย ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ต้องก็มีการจดทะเบียนสมรส และชายมีภรรยาได้หลายคน
ข้อสังเกต การสมรสในต่างประเทศหากจะสมรสกับชาวต่างประเทศหรือกับคนไทยด้วยกันเองจะทำการสมรสโดยพิธีในโบสถ์ตามกฎหมายของต่างประเทศก็ได้ หรือจดทะเบียนที่สถานเอกอัครทูตไทยประจำประเทศนั้นก็ได้ตามความสะดวกของตน
4.ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดหลักเกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่าสามีภรรยาไว้ดังนี้
4.1 ต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา
ต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา โดยปกติหมายถึงอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ร่วมชีวิตในการครองเรือนและร่วมประเวณีต่อกัน แต่ในการร่วมประเวณีนั้นสามีหรือภริยาไม่จำต้องยอมทนต่อการกระทำที่ผิดธรรมชาติ วิปริตเกินสมควร หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของตน เช่น สามีป่วยเป็นโรคเอดส์จะบังคับให้ภริยาจำต้องร่วมประเวณีกับตนไม่ได้
4.2 การอุปการะเลี้ยงดู
การอุปการะเลี้ยงดูสามีภรรยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน ถ้าไม่อุปการะเลี้ยงดูกันอาจฟ้องหย่าและต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูได้
ข้อสังเกต ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ ในกรณีที่ศาลสั่งให้สามีภรรยาเป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนคนไร้ความสามารถ ภรรยาหรือสามีย่อมเป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์เว้นแต่ศาลจะตั้งผู้อื่นเป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์
4.3 การแยกกันอยู่ชั่วคราว
หากสามีภริยาทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายร่างกายกันจนถึงขนาดเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจหรือทำลายความผาสุกอย่างมาก ฝ่ายที่ได้รับอันตรายหรือความเสียหายมีสิทธิเรียกร้องต่อศาลให้สั่งอนุญาตให้ตนแยกอยู่ต่างหากชั่วคราวได้และศาลอาจจะสั่งให้มีการชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ด้วยก็ได้ นอกจากนี้สามีภริยาอาจทำข้อตกลงระหว่างกันเองเพื่อแยกกันอยู่เป็นการชั่วคราวก็ได้ ข้อตกลงเช่นว่านี้ใช้บังคับได้แม้จะตกลงกันด้วยวาจาก็ตาม ระหว่างที่แยกกันอยู่นี้สามีและภริยาต่างหมดหน้าที่ในการอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยไม่ถือว่าเป็นการละทิ้งร้างกัน แต่หากแยกกันอยู่ตามคำสั่งศาลเกิน 3 ปี สามีภริยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิฟ้องหย่าได้

5.ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา
ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา ได้แยกได้เป็น 2 ประเภทคือ สินส่วนตัวกับสินสมรส
5.1 สินส่วนตัว
สินส่วนตัว ได้แก่ทรัพย์สิน ดังนี้
1.ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส เช่น ก่อนสมรสหญิงมีที่ดิน 1 แปลง ชายมีรถยนต์ 1 คัน ที่ดิน 1 แปลงเป็นสินส่วนตัวของภริยา รถยนต์เป็นสินส่วนตัวของสามี เป็นต้น
2.ที่เป็นเครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องแต่งกายหรือเครื่องประดับกายตามความแก่ฐานะ หรือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น สามีเอาเงินเดือนของตนไปซื้อเสื้อผ้ามาใช้ เสื้อผ้าเป็นสินส่วนตัวของสามี หรือ ภริยาเป็นทนายความ ชุดครุยทนายความเป็นสินส่วนตัวของภริยา เป็นต้น
3.ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา เช่น ภริยาได้รับมรดกมารดาของตน 3,000,000 บาท เงินจำนวนนี้เป็นสินส่วนตัวของภริยาหรือสามีเป็นนักมวยแฟนมวยมอบสร้อยคอทองคำหนัก 30 บาท ให้สามี สร้อยคอทองคำดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของสามี เป็นต้น
4.ที่เป็นของหมั้นย่อมเป็นสินส่วนตัวของหญิง
ข้อสังเกต การจัดการสินส่วนตัวนั้น สามีหรือภรรยาแต่ละคนมีสิทธิจัดการทรัพย์สินส่วนตัวได้ตามลำพัง เช่น สามีเอาที่ดินสินส่วนตัวไปขายได้เงินมา 1,000,000 บาท เงินจำนวนนี้ยังคงเป็นสินส่วนตัวของสามีเช่นเดิม เป็นต้น
5.2 สินสมรส
สินสมรส ได้แก่ทรัพย์สินดังต่อไปนี้
1.ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ทรัพย์สินที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสนอกจากโดยการับมรดกหรือการให้โดยเสน่หาถือว่าเป็นสินสมรส เช่น สามีรับราชการได้เงินเดือน เดือนละ 18,000 บาท ภริยาถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นเงิน 4,000,000 บาท เงินเหล่านี้เป็นสินสมรส เป็นต้น
2.ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือ เมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรสถ้าไม่ระบุทรัพย์สินนั้นเป็นสินส่วนตัวของผู้ได้รับมา เช่น มารดาของภริยาถึงแก่ความตายและทำพินัยกรรมยกเงิน 2,000,000 บาท ให้ภริยาโดยระบุว่าให้เป็นสินสมรส เงินจำนวนนี้เป็นสินสมรส แต่ถ้าไม่ระบุว่าให้เป็นสินสมรส เงินจำนวนดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของภริยา เป็นต้น
3.ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว ดอกผลธรรมดาหรือดอกผลนิตินัยของสินส่วนตัวเป็นสินสมรสทั้งสิ้น เช่น ก่อนการสมรสภริยามีเงินฝากธนาคาร 4,000,000 บาท หลังจากสมรสแล้วธนาคารคิดดอกเบี้ยให้ 90,000 บาท เงินดอกเบี้ย 90,000 บาทนี้เป็นดอกผลนิตินัยของต้นเงินจึงเป็นสินสมรส เป็นต้น
การจัดการสินสมรส สามีและภรรยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีที่สำคัญเช่น ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้ เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนองซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ การก่อตั้งหรือทำให้สิ้นสุดลงซึ่งทรัพย์สิทธิในอสังหาริมทรัพย์ การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 6 ปี การให้กู้ยืมเงิน ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่จรรยา การประนีประนอมยอมความ มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย การนำทรัพย์สินไปประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาลเป็นต้น ส่วนกิจการอื่นนอกจากนี้สามีหรือภรรยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับการยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง
5.3 การทำพินัยกรรมยกทรัพย์ในระหว่างการสมรส
การทำพินัยกรรม พินัยกรรมของสามีหรือภรรยาไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสที่เกินกว่าส่วนของตนให้แก่บุคคลใดได้สินส่วนตัวของสามีหรือภรรยาเจ้าของย่อมทำพินัยกรรมให้ผู้ใดก็ได้ตามลำพังไม่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง
5.4 ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาที่มิได้จดทะเบียนสมรส
ชายและหญิงที่มาอยู่กินด้วยกันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสไม่ถือว่าเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย แต่ทรัพย์ที่ชายและหญิงคู่นี้ลงทุนร่วมแรงทำมาหาได้ด้วยกันถือวาเป็นเจ้าของร่วมกัน มีส่วนแบ่งคนละครึ่งเท่ากัน ส่วนทรัพย์สินที่ต่างคนต่างทำมาหาได้แยกกันก็เป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายนั้นเพียงผู้เดียว เช่น มารดาของหญิงถึงแก่ความตายมีมรดกคือที่ดินตกแก่หญิง ที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของหญิงเพียงผู้เดียว เป็นต้น
6.การสิ้นสุดแห่งการสมรส
การสิ้นสุดแห่งการสมรส ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดหลักเกณฑ์การสิ้นสุดการสมรสไว้ 3 กรณี คือ ตาย หย่า และศาลพิพากษาเพิกถอน

6.1 การหย่า
การหย่า มี 2 กรณี คือ การหย่าโดยความยินยอมของคู่สมรสกับการหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
6.1.1 การหย่าโดยการยินยอมของคู่สมรส
หากสามีภริยาตกลงยินยอมหย่าขาดจากันจะต้องทำเป็นหนังสือหย่ามีพยานลงลายมือชื่อ 2 คน โดยสามีและภริยาต้องลงลายมือชื่อไว้ด้วยจะตกลงอย่ากันด้วยวาจาไม่ได้และต้องทำเป็นหนังสือหย่าไปจดทะเบียนการหย่า ณ ที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขตจึงจะมีผลทำให้การการสมรสสิ้นสุดลงในวันเวลาที่จดทะเบียนการหย่า
ข้อสังเกต การที่สามีกับภริยาจดทะเบียนหย่าโดยแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้ระหว่างกันมิได้มีเขตนาจะหย่าขาดจากกัน แต่เพื่อหลบเลี่ยงหนี้สิน การหย่านั้นยินยอมเป็นโมฆะ ต้องถือว่าบุคคลทั้งสองยังคงเป็นสามีภริยากันอยู่ แม้สามีภริยาจะตกลงกันแบ่งทรัพย์สินก็ตาม เจ้าหนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ผูกพันตามหนังสือข้อตกลงและการจดทะเบียนหย่าดังกล่าว เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินมาชำระหนี้ได้
6.1.2 สามีหรือภริยาฟ้องหย่าอีกฝ่ายหนึ่ง
สามีหรือภริยาฟ้องหย่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นต้องมีเหตุฟ้องหย่าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยกเป็นเหตุฟ้องหย่าได้มีดังนี้
1.สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามีเป็นชู้หรือมีชู้หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
2.สามีหรือภริยาประพฤติชั่วไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง
1)ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
2)ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ
3) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ
3.สามีหรือภริยาทำร้ายหรือทรมานร่างการหรือจิตใจหรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยาม อีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่งทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง
4.สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกิน 1 ปี
5.สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและได้ถูกจำคุกเกิน 1 ปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร
6.สามีหรือภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดเกิน 3 ปีหรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกิน 3 ปี
7.สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญหรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกิน 3 ปี โดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
8.สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ
9. สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมา เกิน 3 ปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้
10.สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ
11.สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรัง ไม่มีทางที่จะหาย ได้อีก
12.สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล
6.1.3 การแบ่งทรัพย์สินเมื่อสามีภรรยาหย่ากัน
โดยปกติทรัพย์สินที่เป็นสินส่วนตัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายนั้นเป็นเจ้าของอยู่แล้ว อีกฝ่ายหนึ่งเกี่ยวข้องไม่ได้ ส่วนสินสมรสนั้นให้แบ่งกันชายหญิงได้ส่วนเท่ากัน
ส่วนหนี้สินที่เป็นหนี้ร่วมกันให้แบ่งความรับผิดในหนี้ที่จะต้องรับผิดด้วยกันตามส่วนเท่ากัน โดยในคดีฟ้องหย่าสามีหรือภริยาเป็นโจทก์หรือจำเลยอาจขอให้ศาลกำหนดให้โจทก์จำเลยร่วมกันรับผิดในหนี้ร่วมคนละครึ่งหรือหรือจะมาฟ้องไล่เบี้ยกันภายหลังก็ได้ เช่น ภริยาฟ้องหย่าสามี สามีกู้เงินบุคคลภายนอกมาใช้จ่ายเกี่ยวกับที่ดินและบ้านสินสมรสอันเป็นหนี้ร่วม สามีย่อมมีสิทธิขอให้ศาลกำหนดให้สามีและภริยาร่วมกันรับผิดในหนี้รายนี้คนละครึ่งได้ เป็นต้น


7.การปกครองบุตร
การปกครองบุตร ในเรื่องครอบครัวประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดในเรื่องของการปกครองบุตร มี 2 กรณีคือ กรณีไม่ได้หย่ากับกรณีที่หย่ากัน สามีภรรยาหย่ากันโดยยินยอม ให้ตกลงกันเป็นหนังสือว่าฝ่ายใดเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรคนใด ถ้ามิได้ตกลงกันหรือตกลงกันไม่ได้ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด
ในกรณีหย่าโดยคำพิพากษาของศาล ให้ศาลชี้ขาดว่าจะให้ฝ่ายใดปกครองบุตรคนใด หรือให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ปกครองก็ได้โดยคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของบุตรเป็นสำคัญ
7.1 การอุปการะเลี้ยงดูบุตร
การอุปการะเลี้ยงดูบุตร ให้สามีภรรยาตกลงกันไว้ในสัญญาหย่าว่าสามีภรรยาทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดจะออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นจำนวนเท่าใดหรือให้ศาลเป็นผู้กำหนด
7.2 บุตรชอบด้วยกฎหมาย
บุตรชอบด้วยกฎหมาย คือบุตรที่เกิดจากบิดามารดาสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย คือ
1. เด็กเกิดระหว่างสมรสหรือภายใน 310 วันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี เช่น สามีเป็นหมัน ภริยาทำการผสมเทียมแล้วคลอดบุตรออกมาถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายทั้งสามีและภริยา เป็นต้น
2.เด็กเกิดจากการสมรสที่เป็นโมฆะ ถือว่า เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีภริยาทั้งสอง เช่น ชายวิกลจริตสมรสกับหญิงปกติแล้วคลอดบุตรออกมา บุตรถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีภริยาทั้งสองคนหรือชายจดทะเบียนสมรสกังภริยา 2 คน บุตรที่เกิดจากภริยาคนที่สองถือว่าบุตรเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีและภริยาคนที่สองด้วย เป็นต้น
3.เด็กเกิดจากการสมรสที่เป็นโมฆียะ ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีภริยาทั้งสองคน เช่น ชายใช้ปืนขู่ให้หญิงจดทะเบียนสมรสแล้วพาไปอยู่ในป่าจนคลอกบุตรออกมา หลังจากนั้นมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะหญิงถูกข่มขู่ บุตรก็ถือว่าบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายหญิงคู่นี้
4.เด็กเกิดจากหญิงหม้ายที่ทำการสมรสใหม่ในเวลาไม่เกิน 310 วัน นับแต่วันขาดการสมรสเดิม ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีคนใหม่และภริยา
5.บุตรบุญธรรมที่สามีภรรยายินยอมรับบุตรบุญธรรมย่อมมีฐานะอย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม
7.3 บุตรนอกกฎหมาย
บุตรนอกกฎหมาย คือบุตรที่เกิดจากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ถือว่าบุตรนั้น เป็นบุตรนอกกฎหมายชองชายผู้เป็นบิดาแต่เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงผู้เป็นมารดา แต่อย่างไรก็ตามบุตรนอกกฎหมายจะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายเมื่อ
1)บิดา มารดาได้จดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง
2)บิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร
3)ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร
8. สิทธิและหน้าที่ของบิดา มารดาและบุตร
สิทธิและหน้าที่ของบิดา มารดาและบุตร ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องของสิทธิและหน้าที่ของบิดา และบุตร ดังนี้
1.บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา ในกรณีที่บิดาไม่ปรากฏบุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดา
2.ห้ามฟ้องบุพการี ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาไม่ได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นเองขอพนักงานอัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้ คดีดังกล่าวเรียกว่าคดี “คดีอุทลุม”
3.บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา
4.บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ บิดามารดา จำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วแต่เฉพาะผู้ทุพพลภาพ และหาเลี้ยงตนเองมิได้
5.ผู้ใช้อำนาจปกครอง บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา ถ้าไม่มี บิดา มารดา หรือบิดา มารดาถูกถอนอำนาจปกครอง ผู้เยาว์จะต้องมีผู้ปกครองเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ซึ่งผู้ปกครองมีหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ใช้อำนาจปกครอง โดยสาระสำคัญ คือทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์หรืออนุญาตให้ผู้เยาว์ทำโดยนิติกรรมได้ นิติกรรมที่สำคัญต้องได้รับอนุญาตจากศาล เป็นต้น
9.ค่าอุปการะเลี้ยงดู
ค่าอุปการะเลี้ยงดู ค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภรรยาหรือระหว่างบิดามารดาและบุตรนั้นย่อมเรียกกันได้เมื่อฝ่ายที่ควรได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือได้รับการอุปการะเลี้ยงดูไม่เพียงพอแก่อัตภาพ ศาลมีอำนาจกำหนดให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้โดยพิจารณาถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ฐานะของผู้รับ และพฤติการณ์แห่งกรณี

หนังสือและเอกสารอ่านประกอบเพิ่มเติม
คมกริช วัฒนเสถียร “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป” กรุงเทพฯ ; สำนักพิมพ์บัณฑิต
ไทย,2544
ประสพสุข บุญเดช “หลักกฎหมายครอบครัว” กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์วิญญูชน,พิมพ์ครั้งที่ 5
,2544
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts